ไดโนเสาร์ในดินแดนอีสานประเทศไทย

สยามโมซอรัส
สุธีธรณ

(Siamosaurus suteethorni, Buffetaut and ingavat, 1986)
ยุค : ครีเตเซียสตอนต้น ประมาณ 130 ล้านปีมาแล้ว
         ไดโนเสาร์ชนิดแรกของไทย ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่ นายวราวุธ สุธีธร ผู้มีส่วนร่วมในการสำรวจ ไดโนเสาร์ชนิดนี้เป็นเทอโรพอดขนาดใหญ่ มีความยาวประมาณ 7 เมตร ลักษณะฟันรูปทรงกรวยมีแนวร่อง และสันเรียงสลับตลอด ฟันคล้ายของจระเข้ จึงน่าจะอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ และกินปลาเป็นอาหาร
สถานที่พบ : ทวีปเอเซีย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ สกลนคร ชัยภูมิ อุดรธานี นครราชสีมา และมุกดาหาร
สยามโมไทรันนัส
อิสานเอนซิส
(Siamotyrannus isanensis, Buffetaut and Tong, 1996)
ยุค : ครีเตเซียสตอนต้น ประมาณ 130 ล้านปีมาแล้ว
         ไดโนเสาร์เทอโรพอดขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 7 เมตร ขาหลังมีขนาดใหญ่ และแข็งแรง พบกระดูกสันหลัง สะโพกและหาง ที่มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ฝังในชั้นหินทราย จากการศึกษาพบว่าอยู่ในวงศ์ไทรันโนซอริเดที่เก่าแก่ที่สุด ทำให้สันนิษฐานได้ว่ากลุ่มของ ไทรันโนซอร์เริ่มวิวัฒนาการครั้งแรกในเอเซียแล้วค่อยแพร่กระจาย ไปทางเอเซียเหนือ และสิ้นสุดที่อเมริกาเหนือก่อนที่สูญพันธุ์ไป
สถานที่พบ : ทวีปเอเชีย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ สกลนคร อุดรธานี นครราชสีมา
ภูเวียงโกซอร
์สิรินธรเน
(Phuwiangosaurus sirindhornae, marin, Buffetaut and Suteethorn, 1994)
ยุค : ครีเตเซียสตอนต้น ประมาณ 130 ล้านปีมาแล้ว
         ไดโนเสาร์ซอโรพอดชนิดแรกของไทย และตั้งชื่อเพื่อถวายพระเกียรติแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผู้ทรงสนพระทัยในงานด้านโบราณชีววิทยาเป็นอย่างมาก ไดโนเสาร์ชนิดนี้เป็นทอโรพอดขนาดกลางมีความยาว 15 - 20 เมตร เดิน 4 เท้า คอและหางยาวกินพืชเป็นอาหาร มักอยู่รวมกันเป็นฝูง และยังพบกระดูกของพวกวัยเยาว์รวมอยู่ด้วย ซึ่งมีขนาดยาว 2 เมตร และสูงเพียงครึ่งเมตร
สถานที่พบ : ทวีปเอเซีย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ อุดรธานี และนครราชสีมา
ซิตตะโกซอรัส สัตยารักษ์กี (Psittacesaurus sattayaraki, Buffetaut and Suteethorn, 1992)
ยุค : ครีเตเซียสตอนต้น ประมาณ 100 ล้านปีมาแล้ว
         ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่นายนเรศ สัตยารักษ์ ผู้ค้นพบ ไดโนเสาร์ชนิดนี้เป็นไดโนเสาร์พวกเซอราทอปเซียน กินพืชขนาดเล็กมีความยาวเพียง 1 เมตร
         ไดโนเสาร์ปากนกแก้ว นี้ในอดีตเราพบว่ามีแพร่หลายอยู่เฉพาะในแถบเอเชียกลาง บริเวณซานตุง มองโกเลีย และไซบีเรียเท่านั้น ซึ่งการพบฟอสซิสครั้งนี้เป็นการยืนยันว่า เมื่อต้นยุคครีเตเซียส แผ่นดินอินโดจีน เป็นส่วนหนึ่งของเอเชียแผ่นดินใหญ่แล้ว
สถานที่พบ : ทวีปเอเชีย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จังหวัดชัยภูม
กินรีมินัส
(Kinnareemimus)
         ไดโนเสาร์นกกระจอกเทศ วิ่งเร็วปราดเปรียวเป็นเทอโรพอด ที่ไม่มีฟันเลย น่าจะกินทั้งพืช และสัตว์ มีขนาดยาวประมาณ 1 - 2 เมตร

 
อิสานโนซอรัส อรรถวิภัชน์ชี (Isanosaurus attavipatchi, Buffetaut et al .. 2000)
         ไดโนเสาร์ซอโรพอด ที่มีลักษณะโบราณที่สุดที่เคยพบว่า พบที่จังหวัดชัยภูมิ อยู่ในยุคไทรแอสสิกตอนปลาย อายุประมาณ 209 ปี
สถานที่พบ : ทวีปเอเชีย ภาคอิสานของประเทศไทย จังหวัดชัยภูมิ
สเตโกเซอร
         พบกระดูกสันหลังในชั้นหินทรายสีเทา ซึ่งคาดว่าเป็นของสเตโกเซอร์ เนื่องจากไดโนเสาร์ชนิดนี้มีกระดูกสันหลังที่ต่างไป จากไดโนเสาร์ชนิดอื่นอย่างเห็นได้ชัด พบที่จังหวัดกาฬสินธุ์
ฮิปซิโลโพดอน
         พบกระดูกขาหลังท่อนบน ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะของพวกฮิปซิโลโพดอน
คอมพ์ซอกนารัส (Compsognathus Iogipes, Buffetaut and ingavat, 1984)
         ไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดเล็ก พวกชีลูโรซอร์ขนาดยาวประมาณ 70 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 3.5 กิโลเมตร วิ่งด้วย 2 ขาหลัง
อิกัวโนดอน
         เป็นไดโนเสาร์ออร์นิโธพอดชนิดใหม่ คือ เป็นไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ ที่มีสะโพกแบบนก ขาหลังทั้งสองมีขนาดใหญ่ ขาหน้าเล็กมาก สามารถเดินด้วย 2 ขาหลัง และ 4 ขา พบอยู่ในยุคครีเตเซียสตอนต้น อายุประมาณ 100 ล้านปีก่อน พบที่จังหวัดอุบลราชธานี

ฟอสซิลไดโนเสาร์ภูเวียง
อุทยานแห่งชาติภูเวียง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น
ที่ตั้ง

ภูเวียงตั้งอยู่ในเขตอำเภอภูเวียงอยู่ห่างจากตัวจังหวัดขอนแก่น ไปทางทิศตะวันตกเป็นระยะทางประมาณ 87 กิโลเมตร การเข้าถึงพื้นที่ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 12 ซึ่งเป็นถนนสายยาวติดต่อจากจังหวัดตากทางด้านทิศตะวันตกผ่านจังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก อำเภอหล่มสัก อำเภอชุมแพไปสิ้นสุดที่จังหวัดขอนแก่น โดยหากเริ่มจากจังหวัดขอนแก่นให้ใช้เส้นทางไปชุมแพ และแยกขวาเข้าอำเภอภูเวียง ตามเส้นทางหลวงสาย 2038 ซึ่งปากทางเข้าอยู่เลยอำเภอหนองเรือไปเล็กน้อย ไปสู่อุทยานแห่งชาติภูเวียง หรือหากเริ่มต้นจาก อำเภอชุมแพ ให้ไปทางขอนแก่น แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทางหลวงสาย 2038 เช่นเดียวกัน เมื่อเลยอำเภอภูเวียงเล็กน้อยให้ใช้เส้นตรงไปอุทยานแห่งชาติภูเวียงไม่ไปศรีบุญเรือง เส้นทางนี้ไปสิ้นสุดที่อุทยานแห่งชาติฯ
ลักษณะของแหล่ง
ขอบเขตพื้นที่อุทยานฯ มีพื้นที่ประมาณ 325 ตารางกิโลเมตร เฉพาะพื้นที่เขาโดยรอบไม่นับรวมแอ่งที่ราบภายใน ภูเวียงเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติด้านการสงวนรักษาซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ ซึ่งมีแหล่งขุดค้นจำนวน 9 แหล่ง เรียงรายเป็นวงอยู่ภายในพื้นที่คุ้มครองของอุทยานแห่งชาติภูเวียง กรมป่าไม้ และมีพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงของกรมทรัพยากรธรณี ซึ่งร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และจังหวัดขอนแก่น ก่อตั้งขึ้นสำหรับเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการ สำหรับให้การศึกษาแก่เยาวชน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดขอนแก่น พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์อยู่ในพื้นที่ราบนอกเขตอุทยานฯ และตั้งอยู่ก่อนถึงอุทยานฯ ประมาณ 3 กิโลเมตร ภายในอาคารส่วนหนึ่งจัดแสดงเรื่องราวของการขุดค้นพบไดโนเสาร์ที่จังหวัดขอนแก่นและใกล้เคียง เพื่อเผยแพร่ผลงานของกรมทรัพยากรธรณีให้กับนักท่องเที่ยว ส่วนที่เหลือจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการกำเนิดโลก กำเนิดหิน แร่ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตและสิ่งสำคัญที่เป็นเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ และทางธรรมชาติของจังหวัดขอนแก่น เพื่อให้ความรู้กับเยาวชน และผู้ที่สนใจ
 

 
ที่มา :http://www.dmr.go.th/Attractive_Geo/ne/ne04.html 

แผนที่ทางธรณีวิทย

ฟอสซิลไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว
ตำบลโนนบุรี อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
           ภูกุ้มข้าวเป็นแหล่งไดโนเสาร์กินพืชที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย โดยพบกระดูกไดโนเสาร์เกือบทั้งตัว กองรวมอยู่กับกระดูกไดโนเสาร์กินพืชพันธุ์ต่าง ๆ อีก 2 - 3 ชนิด กระดูกทั้งหมดอยู่ในชั้นหินที่วางตัวอยู่บนไหล่เขา รูปร่างคล้ายฝาชี ในระดับความสูงทางด้านทิศตะวันตก 200 เมตร และระดับความสูงทางด้านทิศตะวันออกประมาณ 240 เมตร อาคารคลุมหลุมขุดค้นมีขนาดประมาณ 700 ตารางเมตร คลุมหลุมขุดค้นพื้นที่ 280 ตารางเมตร ไว้ภายใน และได้ก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ภูกุ้มข้าวขนาด 8,800 ตารางเมตร ในพื้นที่ติดกัน 1 หลัง เพื่อเป็นสถานที่สำหรับค้นคว้าศึกษาวิจัย ของนักธรณีวิชาการจากทั่วโลก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด
ลักษณะของแหล่ง
ภูกุ้มข้าวเป็นแหล่งไดโนเสาร์กินพืชที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย โดยพบกระดูกไดโนเสาร์เกือบทั้งตัว กองรวมอยู่กับกระดูกไดโนเสาร์กินพืชพันธุ์ต่าง ๆ อีก 2 - 3 ชนิด กระดูกทั้งหมดอยู่ในชั้นหินที่วางตัวอยู่บนไหล่เขา รูปร่างคล้ายฝาชี ในระดับความสูงทางด้านทิศตะวันตก 200 เมตร และระดับความสูงทางด้านทิศตะวันออกประมาณ 240 เมตร อาคารคลุมหลุมขุดค้นมีขนาดประมาณ 700 ตารางเมตร คลุมหลุมขุดค้นพื้นที่ 280 ตารางเมตร ไว้ภายใน และได้ก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ภูกุ้มข้าวขนาด 8,800 ตารางเมตร ในพื้นที่ติดกัน 1 หลัง เพื่อเป็นสถานที่สำหรับค้นคว้าศึกษาวิจัย ของนักธรณีวิชาการจากทั่วโลก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด
ธรณีวิทยา
ภูกุ้มข้าว มีลักษณะเป็นเขาโดดสูงประมาณ 300 เมตร มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 460 ไร่ ประกอบด้วย หน่วยหิน 2 หน่วย เรียงลำดับอายุแก่ - อ่อน ตามลำดับจากเชิงเขาคือ หมวดหินเสาขัว และหมวดหินภูพาน หมวดหินทั้งสองวางตัวเรียงซ้อนต่อเนื่องกัน เอียงเทไปทางทิศตะวันตกด้วยมุมเอียงประมาณ 10 องศา
ซากกระดูกที่สมบูรณ์พบอยู่ในชั้นหินทรายปนหินดินดาน ระดับความสูงประมาณ 200 เมตร (ตำแหน่งหลุมขุดค้น) นอกจากนี้ยังพบเศษกระดูกกระจัดกระจายอยู่ในชั้นหินกรวดมน ซึ่งอยู่เหนือและล่างชั้นซากที่สมบูรณ์ รอบ ๆ ภูกุ้มข้าวด้วย กระดูกในชั้นหินกรวดมนมีลักษณะเป็นเศษแตกหักเกิดจากแรงขัดสี แรงกระแทก ในขณะที่ถูกกระแสน้ำพัดพามาสะสมรวมกับกรวด ทั้งนี้เนื่องจากกระแสน้ำที่พัดพากรวดมีความแรงมากกว่าพัดพาตะกอนทราย เศษกระดูกจึงพบกระจัดกระจายอยู่ทั่ว ๆ ไปในชั้นหินลักษณะเช่นนี้นอกจากจะพบที่ภูกุ้มข้าวแล้วยังพบที่ภูปอ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์อีกด้วย
หลุมขุดค้นซากไดโนเสาร์ มีขนาดพื้นที่ประมาณ 280 ตารางเมตร ลึก 1.50 เมตร พบกระดูกมากกว่า 630 ชิ้น (มกราคม 2544) เป็นกลุ่มของกระดูกส่วนขา สะโพก ซี่โครง คอ และหางของไดโนเสาร์กินพืชไม่น้อยกว่า 7 ตัว นอกจากนี้ยังพบฟันของไดโนเสาร์ทั้งกินพืช และกินเนื้ออีกอย่างละ 2 ชนิด จากลักษณะของกระดูกพบว่า เป็นไดโนเสาร์กินพืชสกุลภูเวียง (Phuwiangosaurus sirindhornae) 1 ชนิด (รูปกระดูกหน้า 67 และรูปจินตนาการหน้า 71) และเป็นไดโนเสาร์กินพืชชนิดใหม่อีก 1 ชนิด สำหรับการศึกษาวิจัยขั้นรายละเอียดกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ
 

http://www.dmr.go.th/Attractive_Geo/ne/ne05.html


แผนที่ทางธรณีวิทยา
 

รอยเท้าไดโนเสาร์ภูแฝก
ตำบลภูแล่นช้าง กิ่งอำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์
ที่ตั้ง
แหล่งรอยเท้าไดโนเสาร์ภูแฝก กิ่งอำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ อยู่ในพื้นที่ของวนอุทยานภูแฝก ภายใต้การควบคุมดูแลของหน่วยจัดการต้นน้ำลำห้วยผึ้ง-ลำพะยัง กรมป่าไม้ การเข้าถึงพื้นที่ใช้เส้นทางหลวงสาย 213 จากจังหวัดกาฬสินธุ์ ไปอำเภอสมเด็จ ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร เมื่อถึงอำเภอสมเด็จ ให้เลี้ยวขวาไปตามเส้นทางหลวงสาย 2042 ไปทางอำเภอห้วยผึ้งและกุฉินารายณ์ เมื่อถึงอำเภอห้วยผึ้งให้เลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทางหลวงสาย 2101 ไปอีกประมาณ 8 กิโลเมตร จะมีทางเลี้ยวซ้ายเข้าหน่วยจัดการต้นน้ำลำห้วยผึ้ง-ลำพะยัง เป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร จึงถึงแหล่งรอยเท้าไดโนเสาร์ ระยะทางทั้งหมดจากจังหวัดกาฬสินธุ์รวม 62 กิโลเมตร

ลักษณะของแหล่ง
รอยเท้าไดโนเสาร์เป็นแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่บอกถึงการปรากฏตัวบนโลกของสัตว์เลื้อยคลานโบราณที่เราเรียกว่าไดโนเสาร์ เป็นเครื่องยืนยันถึงการมีตัวตนของไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ที่เคยเดินท่อมๆ หากินอยู่ตามพื้นทรายชุ่มน้ำตามขอบชายบึงหรือแม่น้ำในช่วงเวลาประมาณ 140 ล้านปีมาแล้ว รอยเท้าทั้งหมด ปรากฏให้เห็นเป็นรอยทางเดิน 3 แนว คือ แนวที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน 7 รอย แนวทางเดินที่มุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นมุม 60 องศา จำนวน 2 รอย และแนวทางเดินที่มุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือด้วยมุม 37 องศา จำนวน 3 รอย รอยเท้าทั้งหมดเป็นรอยเท้าที่มีนิ้ว 3 นิ้ว ขนาดโดยเฉลี่ยมีความยาวประมาณ 45 เซนติเมตร กว้าง 40 เซนติเมตร ระยะก้าว 120 และ 110 เซนติเมตร เป็นไดโนเสาร์ที่เดินด้วยสองขาหลัง มีความสูงถึงสะโพกมากกว่า 2 เมตร ก้าวเดินไปอย่างช้าๆ (Buffetaut et al., 1997 New dinosaur discoveries in the Jurassic and Cretaceous of northeastern Thailand. The international Conference on Stratigraphy and Tectonic Evalution of Southeast Asia and South Pacific, Bangkok, Thailand.)

ธรณีวิทยา
แหล่งรอยเท้าไดโนเสาร์มีสภาพเป็นพลาญหินที่เป็นทางน้ำของห้วยน้ำยัง รอยเท้าฝังอยู่ในผิวหน้าของชั้นหินทรายที่แกร่งของหมวดหินพระวิหาร ซึ่งตามลำดับชั้นหินจะวางตัวอยู่ใต้ชั้นหินของหมวดหินเสาขัว ซึ่งเป็นชั้นหินที่พบกระดูกไดโนเสาร์มากที่สุดของประเทศไทย การพบรอยเท้าไดโนเสาร์ทำให้เราทราบว่า ชั้นหินทรายในบริเวณนี้ในอดีต มีสภาพเป็นหาดทรายริมน้ำ เป็นที่ที่ไดโนเสาร์เดินผ่าน หรือเที่ยวหากินอยู่ในบริเวณหาดทรายชุ่มน้ำนี้ รอยเท้าที่เกิดขึ้นไม่ได้ถูกคลื่นซัดให้ลบเลือน โดยอาจโผล่พ้นน้ำ ทำให้แดดเผาจนคงรูปร่างอยู่ หลังจากนั้นกระแสน้ำได้พัดพาเอาตะกอนมาปิดทับลงไปเป็นชั้นตะกอนใหม่ รอยเท้านั้นจึงยังคงอยู่ในชั้นตะกอนเดิม ต่อมาชั้นตะกอนแข็งตัวกลายเป็นหิน รอยเท้านั้นจึงปรากฏอยู่ในชั้นหินนั้น ปัจจุบันธรรมชาติได้ทำลายชั้นหินส่วนที่ปิดทับรอยเท้าออกไป เผยให้เห็นรอยเท้าที่ไดโนเสาร์ได้ทิ้งเอาไว้เป็นประจักษ์พยานถึงการมีตัวตนในอดีต
 

  
 
ที่มา :http://www.dmr.go.th/Attractive_Geo/ne/ne06.html  

 แผนที่ทางธรณีวิทยา

 

 ผลการศึกษาวิจัยซากไดโนเสาร์
ไดโนเสาร์ซึ่งได้รับการศึกษาวิจัยขั้นรายละเอียดโดยใช้ลักษณะของกระดูก และฟันเป็นสำคัญจนสามารถกำหนดชื่อสกุล (genus ) และชนิด (species) ได้มีดังต่อไปนี้
1. ฟันไดโนเสาร์กินปลา Siamosaurus suteethorni พบที่ภูประตูตีหมา อุทยานแห่งชาติภูเวียง พิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2529
2. กระดูกขากรรไกรไดโนเสาร์ปากนกแก้ว สกุล Psittacosaurus ที่อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เป็นสกุลที่เคยพบมาแล้วในแหล่งอื่นๆ แต่เป็นชนิดใหม่มีชื่อว่า Psittacosourus sattayaraki พิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2535
3. กระดูกขาของไดโนเสาร์ขนาดตัวเล็กเท่าไก่ ที่ภู
ประตูตีหมามีชื่อสกุลว่า Compsognathus ไดโนเสาร์ชนิดนี้ไม่ใช่สกุลใหม่เคยพบมาก่อนแล้วในที่อื่น ๆ สำหรับชื่อชนิดยังไม่สามารถระบุได้
4. กระดูกหลายส่วนของไดโนเสาร์กินพืชสกุลและชนิดใหม่ของโลก Phuwiangosaurus sirindhornae ที่หลุมขุดค้นที่ 1 และ 2 บนอุทยานแห่งชาติภูเวียง ซึ่งชื่อชนิดของไดโนเสาร์ชนิดนี้ได้รับพระราชทานพระนามาภิไธยของสมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผลงานวิจัยพิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2537
5. กระดูกเท้าของไดโนเสาร์ที่มีรูปร่างคล้ายนกกระจอกเทศ (Ornithomimosaur) ที่หลุมขุดค้นที่ 5 ซึ่งข้อมูลยังไม่เพียงพอที่จะตั้งเป็นชื่อได้
6. กระดูกของไดโนเสาร์กินเนื้อสกุลและชนิดใหม่ของโลก ที่พบที่หลุมขุดค้นที่ 9 บนอุทยานแห่งชาติภูเวียง มีชื่อว่า Siamotyrannus isanensis พิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2539
7. ไดโนเสาร์กินพืชที่เก่าแก่ที่สุดของโลกมีชื่อว่า Isanosaurus attavipachi พบที่อำเภอ หนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ พิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2543


การเกิดซากดึกดำบรรพ
ซากดึกดำบรรพ์ หมายถึงซากสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีทั้งซากพืช ซากละอองเรณู หรือ สปอร์ของพืช ซากสัตว์ หรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีตที่ได้ประทับฝังไว้ในชั้นหินหรือในหิน เมื่อผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ จะมีส่วนประกอบของอินทรีย์สารเปลี่ยนแปลงไปจากส่วนประกอบ แต่ยังคงรูปลักษณะโครงสร้างให้เห็นอยู่ ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติอันเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยานั้น มีอยู่หลายวิธี เช่น
1. Permineralization ได้แก่การสะสมตัวของแร่ธาตุในเนื้อพรุนของซาก
2. Silicification ได้แก่การที่ส่วนประกอบดั้งเดิมของซากถูกแทนที่ด้วยสารซิลิกา ในรูปของแร่ ควอรตซ์ แร่คาลซิโดนี หรือแร่โอปอ
3. Petrification ได้แก่ ซากที่กลายเป็นหินแข็ง เนื่องจากส่วนประกอบเดิมถูกแทนที่ด้วยสารละลายซิลิกา หรือสารแคลเซียมคาร์บอเนต
4. Carbonization ได้แก่ การที่ซากกลายเป็นสารคาร์บอนฝังในเนื้อหิน หรือเป็นถ่านหิน
5. Trace, Track, Trail, Boring, Burrow, Cast, Mold ได้แก่ร่องรอยทางเดิน รอยหนอน รอยชอนไช รอยเจาะ รอยพิมพ์ และรูปพิมพ์บนเนื้อตะกอน ที่ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและทางฟิสิกส์จนทำให้เกิดการแข็งตัวเป็นหิน เช่นรอยเท้าสัตว์บนหินทราย รอยทางเดินบนหินดินดาน รูปพิมพ์ของสัตว์จำพวกหอย หรือรอยเจาะในหินปูน
กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาเหล่านี้ทำให้ซากดึกดำบรรพ์มีส่วนประกอบผิดไปจากซากเดิมของสัตว์หรือพืช กระบวนการนับตั้งแต่เมื่อสัตว์หรือพืชตายลงจนกระทั่งเปิดเผยให้เห็นได้ในช่วงเวลาต่อ ๆ มานั้น มีขั้นตอนที่ซับซ้อนยาวนานดังต่อไปนี้ คือ
1. เมื่อสัตว์ตายลงซากอาจถูกสัตว์กินเนื้อหรือสัตว์กินซากนำพาชิ้นส่วนออกไปทำให้เกิดการกระจัดกระจายของชิ้นส่วนซากขึ้น แต่ในกรณีที่ซากไม่ถูกรบกวน แบคทีเรีย หนอน แมลงจะทำให้เนื้อเยื่อเน่าสลายเหลือส่วนแข็ง เช่น กระดูก ฟัน ไว้ในตำแหน่งที่สัตว์ตาย ขั้นตอนเหล่านี้จัดเป็นขั้นตอนของการทำลายทางธรรมชาติ
2. ซากที่กระจัดกระจาย หรือเป็นกลุ่ม ณ ที่เดิม ถูกตัวกลาง เช่น กระแสน้ำพัดพาไปยังที่แห่งใหม่ หรือน้ำนำพาตะกอนจากที่อื่น ๆ มาทับถมซากนั้นไว้ทำให้ซากไม่ถูกทำลายอีกต่อไป กระบวนการดังกล่าวนี้ถือเป็นการเก็บรักษาซากไว้โดยธรรมชาติ
3. ซากในชั้นดินทับถมกันมากเข้า ชั้นดินกลายสภาพเป็นชั้นหินโดยการถูกบีบอัดจนแน่นแข็ง หรือโดยมีสารละลายเคมี เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต หรือซิลิกาเข้าไปจับยึดเม็ดตะกอนเข้าด้วยกันซากที่อยู่ในชั้นดินจะเปลี่ยนสภาพไปเป็นหินด้วยเช่นกัน และโดยวิธีเดียวกันกับชั้นดิน
4. ซากใหม่ที่ได้รับการกลบฝังอยู่ในชั้นดินชั้นบน นานเข้าจะกลายสภาพเป็นหินเหมือนดังที่เคยเกิดขึ้นกับซากในชั้นหินชั้นล่าง ลำดับของชั้นหินที่มีซากสัตว์หรือพืชฝังปะปนอยู่ในเนื้อ จึงเป็นเสมือนบันทึกของประวัติโลกที่บอกกล่าวถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต อย่างเป็นขั้นเป็นตอนต่อเนื่องกันตามเวลาที่ผ่านไป
5. โลกไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ เปลือกโลกมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ การเกลี่ยระดับเพื่อให้เปลือกโลกราบเรียบเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่เป็นที่สูงจะถูกทำลายลงและถูกนำพาไปสะสมยังส่วนที่เป็นที่ต่ำ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง บึง ทะเลสาบ มหาสมุทร เป็นขั้นตอนการบันทึกข้อมูล ขณะเดียวกันการแทรกดันตัวของของเหลวร้อนภายในโลกทำให้พื้นผิวโลกเปลี่ยนสภาพไป สถานที่ที่เคยเป็นที่ต่ำเช่น ทะเล จะถูกยกตัวกลายเป็นที่สูง เมื่อชั้นหินซึ่งมีซากฝังตัวอยู่ถูกยกตัวขึ้นเป็นพื้นที่สูง กระบวนการทำลายโดยธรรมชาติจะเริ่มต้นอีกครั้ง ชั้นหินจะค่อยๆ หลุดลอกออกเผยให้เห็นซากในชั้นหิน ต่อมาชั้นหินและซากในชั้นหินจะแตกหลุดออกจากกันและถูกนำพาออกไปจากแหล่งเดิม เพื่อสะสมตัวในที่ใหม่ ประวัติเดิมจะถูกทำลายลง ในขณะที่ประวัติใหม่กำลังจะได้รับการบันทึก
6. นักโบราณชีววิทยา ทำหน้าที่ตีแผ่เรื่องราวของเหตุการณ์ในอดีตและเก็บรักษาบันทึกนั้นไว้ให้คงอยู่ต่อไป ด้วยการนำเอาซากออกจากชั้นหิน นำไปทะนุบำรุงให้ทนทานต่อสภาพในบรรยากาศโลก และเก็บไว้ให้ปลอดภัยที่สุดเพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิง การเก็บรักษาต้องเก็บเป็นระบบตามสากลและเป็นระเบียบให้สามารถค้นออกมาศึกษาได้ การประกาศให้โลกทราบถึงสิ่งมีชีวิตสกุลหรือชนิดใหม่ของโลกต้องปฏิบัติตามกติกาสากลซึ่งกำหนดว่า ผู้ทำการเผยแพร่ข้อมูลจะต้องแจ้งสถานที่เก็บซากอ้างอิงด้วย ทั้งนี้เพื่อให้นักวิชาการทั่วโลกสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม บทความวิจัยซึ่งไม่สามารถนำตัวอย่างหลักฐานมาอ้างอิงได้จะไม่ได้รับการเชื่อถือ และไม่สามารถใช้อ้างอิงได้อีกต่อไป

ประโยชน์และการอนุรักษ
ซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์และสัตว์หรือพืชทุกชนิดใช้ประโยชน์ในด้านการบอกอายุของชั้นหินและการเทียบสัมพันธ์ชั้นหิน โดยใช้เทียบจากชั้นหินอายุเดียวกัน ที่พบในที่ต่าง ๆ กัน เป็นข้อมูลวิชาการ ซึ่งนำไปใช้อ้างอิงได้ทั่วโลก จัดเป็นสมบัติหรือมรดกทางธรณีวิทยาของโลก ซึ่งจะทำให้ได้ทราบถึงความเป็นมาของโลก ในช่วงที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่บนโลก ช่วงเวลาต่อเนื่องทั้งก่อนและหลังช่วงเวลาของไดโนเสาร์ว่า โลกได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างใดบ้าง จึงเป็นผลทำให้มีสภาพดังเช่นปัจจุบัน นอกจากความสำคัญด้านการบอกอายุ การเทียบสัมพันธ์ ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของซากดึกดำบรรพ์แล้ว ซากไดโนเสาร์นับว่ามีความสำคัญมากยิ่งขึ้นอีก เนื่องจากไดโนเสาร์แต่ละชนิดเป็นสัตว์เฉพาะถิ่น พบได้เฉพาะที่ แต่ละที่จะมีความแตกต่างกันออกไปตามลักษณะสภาพแวดล้อมภูมิประเทศ และขอบเขตของแผ่นดินที่อยู่อาศัย ดังนั้นซากไดโนเสาร์ และแหล่งซากไดโนเสาร์ จึงสมควรที่จะได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่ตลอดไปเพื่อรักษาข้อมูลเฉพาะตัวไว้
เนื่องจากมีการพบแหล่งซากไดโนเสาร์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กรมทรัพยากรธรณีจึงมีแนวนโยบายสำหรับดำเนินการในเรื่องแหล่งซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ดังนี้คือ
1. คุ้มครองซากกระดูกและแหล่งซากกระดูกไดโนเสาร์ โดยขอความร่วมมือจากจังหวัดว่า เมื่อมีผู้พบซากไดโนเสาร์ ขอให้จังหวัดกำหนดให้ท้องถิ่นที่พบแหล่งซากไดโนเสาร์แจ้งให้จังหวัดทราบเป็นการด่วน เพื่อทางจังหวัดจะได้ประสานกับกรมทรัพยากรธรณีให้มาดำเนินการทางด้านวิชาการและการจัดการเพื่ออนุรักษ์ซากกระดูกนั้นต่อไป
2. พิจารณาสภาพและสถานการณ์ของแหล่งซากกระดูกไดโนเสาร์ในแหล่งต่างๆ เพื่อการจัดการด้านวิชาการ หลุมขุดค้นบางแหล่งที่มีความเหมาะสมต่อการพัฒนา จะดำเนินการทางวิชาการพร้อมจัดสร้างอาคารคลุมหลุมถาวรไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อรักษาสภาพให้สามารถรองรับทั้งด้านการศึกษาวิจัยและด้านการท่องเที่ยวของท้องถิ่น เมื่อได้จัดสร้างอาคารเรียบร้อยแล้ว จะมอบให้หน่วยงานในท้องถิ่นหรือหน่วยงานที่เหมาะสมเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยต่อไป
3. จัดให้มีศูนย์กลางการศึกษา วิจัยซากไดโนเสาร์ ของนักวิชาการทั่วโลกแห่งแรกของประเทศ โดยการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ขนาดกลางจัดแสดงข้อมูลที่ค้นพบ จัดทำห้องปฏิบัติการสมบูรณ์แบบและคลังเก็บตัวอย่างซากกระดูกสำหรับอ้างอิงทางวิชาการที่ภูกุ้มข้าว อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และโดยการควบคุมดูแลของกรมทรัพยากรธรณี
4. ปรับปรุงกฎหมายให้มีบทบัญญัติด้านการอนุรักษ์แร่หรือซากดึกดำบรรพ์ให้ชัดเจน
5. จัดทำข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับแหล่งธรณีวิทยาที่พบซากดึกดำบรรพ์หรือซากไดโนเสาร์เป็นข้อมูลวิชาการเพื่อการศึกษาค้นคว้า
6. ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการวิวัฒนาการของทรัพยากรแร่ อันเกิดจากซากดึกดำบรรพ์หรือซากไดโนเสาร์ หรือการเปลี่ยนแปลงด้านธรณีวิทยาที่เกี่ยวข้องกับประชาชนในท้องถิ่น และประชาชนทั่วไป ที่พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ในความควบคุมดูแลของกรมทรัพยากรธรณี

การอนุรักษ์แหล่งรอยเท้า
แหล่งรอยเท้าของสัตว์ในอดีต เป็นสิ่งที่มีค่า เป็นสิ่งที่บอกให้เราทราบถึงรูปร่างภายนอกของสัตว์ ทำให้นักโบราณชีววิทยา สามารถสร้างภาพไดโนเสาร์เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตได้ ซากไดโนเสาร์ส่วนใหญ่ที่พบ มักเป็นซากกระดูก การสร้างภาพจากโครงกระดูกไม่ใช่ของง่าย ภาพที่สร้างอาจผิดไปจากของจริงอย่างสิ้นเชิงก็ได้ นอกจากนี้รอยเท้ายังเป็นเครื่องชี้นำให้เราทราบถึงเรื่องราวในอดีตของโลกของเรา การเก็บรักษาไว้จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง กรมทรัพยากรธรณีได้ขอความร่วมมือจากกรมป่าไม้และกรมชลประทาน ในการก่อสร้างฝายน้ำล้นที่ต้นน้ำเหนือบริเวณรอยเท้าไดโนเสาร์แห่งนี้ เพื่อชะลอความแรงของกระแสน้ำ และเพื่อให้วนอุทยานภูแฝกได้มีแหล่งกักเก็บน้ำไว้ในฤดูแล้ง ทั้งนี้เนื่องจากกระแสน้ำที่รุนแรงในฤดูฝนได้พัดพาก้อนหินออกมาครูดถูกับรอยเท้าทำให้ลบเลือนไป อย่างไรก็ดีความแรงของกระแสน้ำซึ่งได้เปิดชั้นหินที่ปิดทับรอยเท้าออกจะทำให้พบรอยเท้าใหม่ๆ ที่ยังอาจมีหลงเหลืออยู่ ขึ้นอยู่กับว่าบริเวณรอยเท้าที่ธรรมชาติได้เก็บรักษาไว้จะมีขนาดกว้างกว่านี้หรือไม่

ที่มา :  http://www.dmr.go.th/Attractive_Geo/index.php
บรรณานุกรม