สังคมแห่งการเรียนรู้   โดย ดนัย จันทร์เจ้าฉาย [6-12-2001]
             
เร็วๆ นี้ผมได้อ่านข่าวชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุว่ารัฐบาลสิงคโปร์ออกโปรแกรมใหม่เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนสิงคโปร์มีนิสัยรักการอ่านมากขึ้น
โปรแกรมที่ว่า คือ การออกบัตรประจำตัวห้องสมุดให้กับเด็กทารกแรกเกิดทุกคน ก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาล! โดยในขณะนี้ มีโรงพยาบาลทั้งหมด 9 แห่งได้เข้าร่วมโปรแกรมดังกล่าว และคาดว่าจะมีการออกบัตรประจำตัวห้องสมุดให้เด็กทารกไม่น้อยกว่า 50,000 คนในปีแรกนี้
           
อ่านข่าวนี้แล้ว ต้องขอคารวะอย่างงามและแสดงความยินดีอย่างจริงใจกับเพื่อนบ้านของเรา ที่ได้ ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกล และพยายามเริ่มปลูกฝังสิ่งดีๆ ทั้งหลายที่ต้นเหตุ ถึงแม้ว่าเด็กแรกเกิดอายุเพียงหนึ่งวันจะไม่สามารถที่จะอ่านออกเขียนได้ แต่ในเชิงจิตวิทยาและการประชาสัมพันธ์ระยะยาว ถือว่า โปรแกรมนี้มีความโดดเด่นและจะสร้างผลตอบรับได้อย่างดี
           
จากสถิติของเกาะสิงคโปร์ มีนักเรียนนักศึกษาที่เป็นสมาชิกห้องสมุดเพียง 16% จากยอดรวมสมาชิกทั้งหมด 1.84 ล้านคน แต่ปรากฏว่า 16% นี้ เป็นสมาชิกที่รักการอ่านสูงสุดและมีปริมาณการยืมหนังสือสูงที่สุด       วันก่อนผมได้นั่งเครื่องบินร่วมกับนักเรียนสิงคโปร์ที่เดินทางมาทัศนศึกษาในประเทศไทย เห็นเด็กเหล่านี้แล้วก็อดชื่นชมในอนาคตของพวกเขาไม่ได้ และคาดการณ์ได้เลยว่าอีกไม่นานนัก สิงคโปร์ก็คงจะทิ้งประเทศไทยที่รักของเราไปได้หลายช่วงตัว    เหตุผลก็คือ เด็กๆ เหล่านี้มีความสามารถในการพูดหลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นแมนดาริน (จีนกลาง) ภาษาจีนฮกเกี้ยนหรือภาษาอังกฤษ ซึ่งล้วนแต่เป็นภาษาสากลที่จำเป็นอย่างยิ่งในการติดต่อสื่อสารในโลกยุคไร้พรมแดนนี้

นอกจากนี้ พฤติกรรมที่แตกต่างจากเยาวชนไทยของเรา ก็คือ นิสัยรักการอ่านครับ

เด็กๆ ส่วนใหญ่จะมีหนังสือคู่กายคนละเล่มสองเล่ม แล้วจะใช้เวลาว่างระหว่างโดยสารเครื่องบินในการอ่านหนังสือเหล่านี้ ทั้งภาษาจีนและอังกฤษ    บ้านเราก็กำลังมีการพูดกัน (มานานหลายปีมาก) ถึงเรื่องการปฏิรูปการศึกษา แต่ก็ไม่รู้ว่าภายในสิบปีนี้จะเป็นเรื่องเป็นราว เป็นจริงเป็นจังได้ขนาดไหน)  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็แน่นอนครับ ไทยเราโดนทิ้ง แน่ๆ อย่าว่าแต่ไปตามสิงคโปร์ มาเลเซียเลย ขนาดเวียดนามเราก็คงตามเขาไม่ทันแล้ว! ผมเข้าใจว่ากระทรวงศึกษาธิการเป็นหนึ่งในกระทรวงที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินประจำปีสูงที่สุดกระทรวงหนึ่ง แต่ไม่คิดว่างบประมาณกับผลลัพธ์ที่ออกมานั้น มีความสัมพันธ์กันแต่อย่างใด  เยาวชนไทยไม่ได้รับการฝึกฝนให้ลับหัวสมอง ให้วิเคราะห์ถึงเหตุผล ให้มีอิสระทางความคิดและมีความสร้างสรรค์แปลกใหม่ ส่วนใหญ่จะถูกฝึกให้ท่องจำ มากกว่าการมีมุมมองที่แตกต่าง
           
ความฝันอันสูงสุดข้อหนึ่งของผม คือ การได้เห็นคนไทย เยาวชนไทยมีนิสัยรักการอ่าน มีวิจารณญานในการเสพสื่อและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่เป็นแบบชาวไทยเชื้อสายเฮโล มีขูดเลขที่ไหนก็เฮโลกันไปขูด ไม่เว้นแม้กระทั่งรางใส่ข้าวหมู หรือเชื่อตามๆ กันไปตามที่ได้ยินได้ฟังมา

            เห็นตัวอย่างบ่อยครับ แม้กระทั่งมนุษย์ทำงานทั้งหลาย ก็ขาดความขวนขวาย ความกระตือรือล้น ในการหาความรู้เพิ่มพูนสติปัญญาโดยการศึกษาเพิ่มเติม   ความจริงแล้วการศึกษาที่ว่านี้ ก็ทำได้หลากหลายช่องทาง นอกจากการอ่านแล้ว จะฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ท่องอินเตอร์เน็ต เข้าสัมมนา หรือวิธีใดๆ ก็ได้ ที่สำคัญ คือ ทำให้แต่ละวันเราได้มีความรู้ที่จะเป็นอาวุธเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ ใครมีข้อมูลมากกว่า เร็วกว่า ผู้นั้นย่อมได้เปรียบเสมอครับ
           
อยากให้คนไทยมีนิสัยรักการอ่านและการเรียนรู้เหมือนกับกระแสความนิยมในหนังสือและภาพยนตร์เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่มียอดขายหนังสือเฉพาะฉบับภาษาไทยถึงกว่าแปดแสนเล่ม และถ้าเป็นเช่นนี้ได้จริงๆ เราก็น่าจะมีหวังที่จะถีบตัวเองให้เจริญก้าวหน้าไปได้อีกมาก       แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการศึกษาหาความรู้เท่านั้น เหมือนกับที่เราได้ยินบ่อยๆ ว่า ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด เคยเห็นมั้ยครับ บางคนจบดอกเตอร์ ได้ปริญญาหลายใบ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จใดๆ ในชีวิต อ้าว! แล้วเราจะหาความรู้ใส่ตัวไปทำไมกัน?    
           
ต้องรู้จักการเชื่อมครับ เชื่อมต่อระหว่างความรู้กับการนำมาใช้ปฏิบัติให้เกิดผลได้จริง หรือที่เรียกว่า Bridging Learning to Doing ตรงนี้ท่านปรมาจารย์ฟิลิป คอตเลอร์ก็ได้เน้นไว้แล้วว่า สมัยนี้ ไม่ต้องการนักทฤษฏีหรือคนที่ปรึกษาหัวโตอะไร แต่ต้องการคนที่จะทำงานให้สัมฤทธิ์ผลมากกว่า